เวลา.. ทุกคนมีเท่าๆ กัน แต่.. คุณค่า ของเวลาในแต่ละคน กลับไม่เท่ากัน..

21 กุมภาพันธ์ 2552

ความรู้เพื่อการนอนหลับที่ดี

ความรู้เพื่อการนอนหลับที่ดี
สมองและร่างกายใช้เวลาช่วงนอนหลับในการบำรุงซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สึกหรอ เพื่อให้ร่างกายมีประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน ในวันรุ่งขึ้น การนอนหลับที่เพียงพอ จึงมีความสำคัญต่อ คุณภาพชีวิต ที่ดีของเรา หากท่านสังเกตดูคนที่นอนไม่เพียงพอ หรืออดนอนนานๆ ประสิทธิภาพต่างๆ ในการทำงานจะลดลงเนื่องจากสมองล้า ร่างกาย อ่อนเพลีย และขาดสมาธิ นอกจากนี้ในผู้ที่นอนไม่หลับเรื้อรัง อาจมี ความวิตกกังวลตึงเครียดง่าย โดยเฉพาะอย่างช่วงเวลาจะเข้านอน เตียงนอนอาจเป็น ที่ไม่สบอารมณ์ได้ง่าย เมื่อถึงเวลานอนเวลานอนกลายเป็นที่ๆ ทำให้วิตก กังวลเมื่อนึกถึงว่า คืนนี้จะหลับได้หรือไม่ หรือคืนนี้คงไม่หลับ อีกตามเคย
อย่างไรก็ตาม อาการนอนไม่หลับและอาการวิตกกังวล ตึงเครียด เหล่านี้สามารถลดลงหรือหายไปได้ หากมีการปฏิบัติสุขอนามัยการนอนหลับ (sleep hygiene) และฝึกให้มีพฤติกรรมที่ส่งเสริมการนอนหลับ ซึ่งทุกคนสามารถปฏิบัติได้เอง

การเข้านอนและตื่นนอนตรงเวลาทุกวันจะทำให้เกิดความเคยชิน อยากนอนและตื่นเมื่อถึงเวลา และหากในคืนที่ถัดมาท่านนอนดึกกว่าปกติ ท่านควรตื่นสายหน่อยหรือตรงเวลาเดิมดี คำตอบที่ถูกคือ พยายามตื่นตรง เวลา แม้ท่านจะง่วงในระหว่างวันบ้าง แต่ตกดึกท่านจะหลับได้อย่างรวดเร็ว ลุกจากเตียงนอนทันทีเมื่อตื่น เปิดหน้าต่างสัมผัสแสงสว่างช่วงเช้าๆ (6-7 นาฬิกา) กายบริหารหลังตื่นเบาๆ สัก 10-15 นาที ก่อนทำกิจกรรม อื่นต่อไป จะช่วยให้สมองและร่างกายตื่นตัว สามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้ดีกว่า

หลีกเลี่ยงการงีบหลับในระหว่างวัน เพราะจะรบกวนการนอนที่ต่อเนื่อง ในตอนกลางคืนได้ สำหรับท่านที่ง่วงจนทนไม่ไหวอาจงีบช่วงกลางวันสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที กายบริหาร หรือออกกำลังกายสม่ำเสมออย่าง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วงเช้าตรู่หรือตอนเย็น จะช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ แต่ไม่ควรปฏิบัติค่ำเกินไป เพราะจะรบกวนการนอนหลับได้
อย่าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ช่วงเย็นถึงก่อนนอน ไม่ควรดื่ม คาเฟอีน เกินวันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงการดื่มกาเฟอีนช่วงบ่ายลงๆ ถึงเวลานอน อย่าสูบ บุหรี่ก่อนนอนหรือกลางดึก

อย่านอนเล่นนานๆ บนเตียงไม่ใช้เตียงนอนเป็นที่สำหรับอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือทำงานอื่นๆ การปฏิบัติกิจกรรมที่ไม่ใช่การนอนหลับบนเตียง จะเร้า ความรู้สึกตื่นในขณะที่เราอยากหลับได้

ปรับอุณหภูมิที่พอดีในขณะหลับ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป ห้องนอน ที่เงียบและมืด จะช่วยให้เกิดการนอนหลับที่ดี อาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารมื้อเบาๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภท เนื้อ หรือ โปรตีนมากๆ และหากทานอาหารมื้อก่อนนอนด้วย ควรเป็นเพียงนมหรือ อาหารประเภทมอลล์สกัด น้ำผลไม้ก็เพียงพอแล้ว การนอนหลับจะเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายและอารมณ์อยู่ในสภาพผ่อนคลาย ดังนั้นขณะเข้านอนหากร่างกายและอารมณ์อยู่ในสภาพตึงเครียดไม่ผ่อนคลาย จะไม่สามารถหลับลงอย่างง่ายดาย จึงควรจัดช่วงเวลาสำหรับ
ผ่อนคลายอารมณ์เป็นกิจวัตรประจำวัน ช่วง 1-2 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน โดยหลีกเลี่ยง การทำงานหรือกิจกรรม
ที่ตึงเครียด 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน และหากท่าน เป็นคนตึงเครียดง่าย หรือมีเรื่องที่ต้องขบคิดจำนวนมากตลอดวัน แนะนำ ให้ปฏิบัติดังนี้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ หลังอาหารมื้อเย็น จดลำดับเรื่องต่างๆ ที่ทำให้ คิด หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้า และวางแผนจัดการ แต่ละเรื่อง อย่างคร่าวๆ สั้นๆ ให้ปฏิบัติทุกวันจนเคยชิน

และหากท่านเข้านอน 15-30 นาที แล้วยังไม่หลับ ให้ลุกจากเตียง หาอะไร ทำเบาๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เปิดเฉพาะแสงไฟอ่อนๆ หลีกเลี่ยงการดูทีวี ฟังข่าว (เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ตื่น) กลับมาที่เตียง
เมื่อง่วงเท่านั้น อย่านอนแช่ อยู่บนเตียงโดยไม่หลับถึงเช้า เพราะจะกระตุ้น ให้เกิดความวิตกกังวล เมื่อเข้า นอนในคืนถัดๆ มาหากไม่ง่วงเลย อาจใช้ยา ช่วยให้หลับเป็นครั้งคราวได้

การปฏิบัติสุขอนามัยการนอนที่ถูกต้อง และการขจัดพฤติกรรม ที่รบกวนการนอน ฝึกให้มีพฤติกรรม ที่ส่งเสริมการนอนหลับที่ดี ควรปฏิบัติ ต่อเนื่องอย่างน้อย 6-10 สัปดาห์ พบว่า ช่วยให้เกิดการนอนหลับที่ง่ายขึ้น

ในผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการนอนไม่หลับควรปฏิบัติ สุขอนามัยการ นอนหลับ และปรับพฤติกรรมการนอนตั้งแต่แรก จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา นอนไม่หลับ เรื้อรังได้

ในผู้ที่ใช้ยาช่วยให้หลับต่อเนื่องมานานกว่า 3-6 เดือน หากหยุดยา ทันทีอาจเกิดอาหารนอนไม่หลับใหม่ จำเป็นต้องค่อยๆ ลดยาลงเรื่อยๆ ร่วมกับการปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น จนสามารถ หยุด

16 กุมภาพันธ์ 2552

จาก 3G สู่ 4G

3G สู่ 4G ?
โดย ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
เทคโนโลยียุค 3G (Third Generation) ของโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นการเปลี่ยนแปลง (Transition) ที่สำคัญอย่างยิ่งขององค์กรธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ไทย เนื่องจากจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของวิศวกรรมโทรคมนาคม คือการวางแผนและโครงการเพื่อทำการเชื่อมต่อโครงข่ายเดิม ที่เป็นระบบ GSM (2G) เข้ากับโครงข่าย 3G ซึ่งจะใช้เทคโนโลยี Wideband Code Division Multiple Access (WCDMA) โดยมีองค์กร ITU (International Telecommunication Union) และ IMT2000 (International Mobile Telecommunications for the year 2000) เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน 3G นี้และเป็นที่ยอมรับกันแล้วทั่วโลกแล้ว
ส่วนในการวางแผนการตลาด ผู้ให้บริการต้องประชาสัมพันธ์ และสร้างโปรโมชั่น รวมทั้งสร้างแบรนด์ให้ผู้ใช้บริการรู้สึกถึงประโยชน์และความสำคัญที่มีต่อชีวิตประจำวัน โดยผู้ให้บริการควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนกับผู้ใช้บริการ ถึงความสามารถทางด้านมัลติมีเดียของระบบ 3G เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้ให้บริการ มักจะสร้างภาพโฆษณาทางโทรทัศน์ไปในลักษณะมีตัวละครที่โดดเด่นดูแล้วทันสมัย มีเสน่ห์ แต่ไม่เคยที่จะสร้างให้เห็นถึงประโยชน์ของ application ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
ดังนั้น ควรหันมาสร้างการโฆษณาที่มีการแสดงให้เห็นถึงความทันสมัย และประโยชน์ร่วมกันไป จึงจะทำให้การสร้างฐานลูกค้าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงความสงสัยอาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการและเกิดคำถามว่า “อะไรคือ 3G” ประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศแรกของโลก ที่ประกาศใช้เทคโนโลยี 3G ในปีที่แล้ว (ปี 2001)
หลักพื้นฐาน(Requirement) ที่ต้องมีใน 3G มีดังนี้ คือ
1. คุณภาพของเสียงต้องมีคุณภาพใกล้เคียงกับโทรศัพท์พื้นฐาน
2. สามารถส่งข้อมูล Multimedia ด้วยความเร็วสูง (สูงกว่า144 Kbps)
3. สามารถสนับสนุนการส่งข้อมูลทั้งแบบ Packet switch และ Circuit switch
4. มีการใช้แถบความถี่อย่างมีประสิทธิภาพ
5. สนับสนุนการใช้งาน อุปกรณ์เคลื่อนที่ได้หลายรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ให้บริการในประเทศไทยยังใช้โครงข่ายเทคโนโลยี GSM อยู่ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ประโยชน์กับระบบที่มีอยู่อย่างสูงสุด และต้องทำการเตรียมการกับจุดเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ 3G (Migrating to 3G) อย่ามองเพียงแต่สร้าง Brand ให้ดูเหมือนเป็น 3G แต่เทคโนโลยีที่แท้จริงในเชิงวิศวกรรมนั้นไม่ใช่ 3G จริง ถ้าผู้ใช้บริการรู้ว่า เป็นเพียงการสร้างภาพ 3G แบบหลอกๆ ซึ่งเป็นเพียงการสร้างภาพโดยอาศัยยุทธวิธีทางการตลาด อาจจะทำให้คู่ต่อสู้ใช้มาเป็นจุดโจมตี และสถานการณ์อาจพลิกผันจากผู้ครองอาณาจักรเทคโนโลยีมาเป็นผู้ตามเทคโนโลยีแทนก็เป็นได้
คำถามต่อไปคือ “อะไรคือ 4G” ขณะนี้ อาจตอบได้อย่างกว้างๆว่า เทคโนโลยี 4G นั้นมีมาตรฐานการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 20 Megabits/second รวมทั้งยังมีการบริหารข้อมูลแบบ Knowledge base system ให้กับผู้ใช้บริการด้วย
ขณะนี้ NTTDoCoMo และ Hewlett-Packard ได้ประกาศถึงความร่วมมือในการพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G แล้ว โดยตั้งชื่อโครงการนี้ว่า MOTO-Media โดยที่ DoCoMo มีแผนให้บริการในปี 2010 อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็คาดว่าจะสามารถทดลองเริ่มให้บริการได้ในปี 2006

การต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านbluetooth

การต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านมือถือแบบ GPRSโดยใช้อุปกรณ์ Bluetooth
อินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านมือถือด้วยระบบ GPRS ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของการใช้งานอินเตอร์เน็ต เพราะว่า ในช่วงนี้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ หลาย ๆ ค่าย ก็มีการทำโปรโมชั่นด้านราคา ออกมาค่อนข้าง น่าใช้งาน มาก โดยมีราคาถูกลงกว่าเดิมมาก และยิ่งถ้านับเรื่องความสะดวก สำหรับผู้ที่ต้องการ ใช้งานอินเตอร์เน็ตนอกสถานที่ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง แนวทางที่น่าสนใจทีเดียว
ก่อนอื่น มาดูรูปแบบต่าง ๆ ของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ผ่านมือถือก่อน โดยทั่วไปแล้ว การที่เราจะสามารถทำการ เชื่อมต่อ เครื่องคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ จะแบ่งวิธีการเชื่อมต่อออกเป็น 3 รูป แบบคือ
1. ผ่านสาย Datalink กรณีนี้ ส่วนมาก จะต้องมีสาย Datalink และ software เฉพาะของมือถือแต่ละรุ่น ซึ่งค่อนข้างจะแพง2. ผ่าน IrDA หรืออินฟาเรด โดยวิธีนี้ จะเหมาะกับมือถือรุ่นเก่า ๆ ข้อเสียคือเวลาใช้งานจะต้องเอา irda มาจ่อให้ตรงกันตลอด 3. ผ่าน Bluetooth หรือระบบเชื่อมต่อไร้สาย วิธีนี้จะสะดวกมาก ไม่มีสาย แต่มือถือที่รองรับ bluetooth จะค่อนข้างแพง
ในที่นี้ จะขอแนะนำการต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน bluetooth โดยอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทดสอบคือ Bluetooth แบบ USB ของ CSR USB Bluetooth และโทรศัพท์มือถือ Sony Ericsson รุ่น T610 โดย SIM ของมือถือที่จะใช้งาน ต้องผ่านการเปิดใช้บริการ GPRS และตั้งค่าใช้งาน GPRS บนเครื่องโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถดูวิธีการตั้งค่าจากระบบต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ระบบ AIS- ระบบ DTAC- ระบบ Orange
หรือจะโทรสอบถามจาก call center ของแต่ละระบบก็ได้
การเชื่อมต่ออุปกรณ์ 2 ชิ้นเข้าด้วยกันเพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth นั้น เราสามารถเลือกใช้บริการต่าง ๆ ได้หลายอย่าง เช่น การรับ-ส่งไฟล์ ระหว่างกัน การจำลองให้เป็น Serial Port หรือการ เชื่อมต่อเพื่อแชร์เน็ตก็ได้ แต่ในที่นี้ จะขอแนะนำ แค่เพียง การนำเอา ระบบ Bluetooth มาเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ ใช้เล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ เท่านั้นครับ
ขั้นตอนหลักใหญ่ ๆ ในการเซ็ตค่าต่าง ๆ ให้เล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ
1. เปิดการใช้งานระบบ GPRS ของมือถือก่อน และเซ็ตค่าสำหรับ GPRS ในเครื่องโทรศัพท์ให้เรียบร้อย2. ลง Driver ของ USB Bluetooth และเปิดใช้งาน Service ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Dial-Up Networking3. ทำการจับคู่หรือ Pairing ระหว่างมือถือและ PC ให้ทั้งสองรู้จักกันได้4. สร้าง Dial-Up Connection สำหรับใช้ต่ออินเตอร์เน็ต5. เรียกใช้งานผ่าน Dial-Up Connection ได้เลย

13 กุมภาพันธ์ 2552

อย่าไว้ใจเทคโนโลยี

ดูเหมือนเป็นเรื่องจากปกที่พูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยในระบบไอทีแต่ผิดครับ!
ความหมายที่ผมอยากสื่อก็คืออย่าคิดว่าเทคโนโลยีพื้นๆ อย่างเว็บบล็อกและเว็บบอร์ดจะเป็นเพียงแหล่งมั่วสุมของกลุ่มคนไซเบอร์จนไม่น่าจะมีนัยสำคัญอะไรในเชิงธุรกิจ
หลายๆ ครั้งเราเห็นการกระพือข่าวเชิงลบของสินค้าและบริการต่างๆ ในเว็บบอร์ดผ่านมาและผ่านไปอย่างไม่สนใจเท่าไรนักเพราะไม่คิดว่าความรุนแรงของมันจะขยายวงกว้างไปได้ ผิดกับกรณีลูกค้า “ทุบรถ” ผ่านสื่อทีวีที่ผลตอบรับนั้น “แรง” กว่ากันเยอะ
มาดูข่าวนี้แล้วเราอาจต้องคิดกันใหม่ครับ เพราะระยะเวลาเพียงแค่ 10 วันแต่กลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันในเว็บบอร์ด “เฉพาะกลุ่ม” เช่น bikeforum.net ที่มีแต่ความเห็นถึงเรื่องจักรยานซึ่งเป็นงานอดิเรก (ราคาแพง) ดูแล้วก็ไม่น่ามีพิษสงอะไรต่อธุรกิจได้มากนัก กลับสอนมวยบริษัทใหญ่จนต้องเสีย “ค่าโง่” เป็นเงินมหาศาลกว่า 400 ล้านบาท
เรื่องของเรื่องคือสมาชิกของเว็บบอร์ด bikeforum.net คนหนึ่งเกิดพบว่าจักรยานรุ่นล่าสุดของผู้ผลิตชื่อดังซึ่งมีจุดขายคือระบบล็อกที่คิดค้นขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ นั้นทำท่าว่าจะเป็นจุดขายแบบลมๆ แล้งๆ เพราะเขาลองใช้ปากกาลูกลื่นธรรมดาๆ และความรู้ทางกลไกเล็กน้อยก็จัดการกับเจ้าล็อกที่ว่านี้ได้แล้ว เว็บบอร์ดนี้จึงกลายเป็ดจุดเริ่มแรกของการเปิดเผยข้อบกพร่องดังกล่าว
สี่วันให้หลัง บริษัทผู้ผลิตจักรยานยังคงยืนยันประสิทธิภาพของระบบล็อกดังกล่าวและไม่เชื่อว่าจะมีคนถอดล็อกของตัวเองได้ง่ายๆ เหมือนในเว็บบอร์ด แต่ไม่กี่วันต่อมาวิดีโอคลิปเผยแพร่วิธีปลดล็อกก็แพร่ไปทั่วในหมู่นักปั่นจักรยาน และจำนวนผู้เข้าอ่านเรื่องดังกล่าวผ่านเว็บบอร์ดและเว็บบล็อกก็มีจำนวนสูงสุดถึงเกือบสองล้านคนต่อวันเพียงช่วงอาทิตย์แรกนับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น
อีก 3 วันถัดมา บริษัทผู้ผลิตจึงอ่านเกมออกและรู้ตัวว่าควรจะทำอย่างไรเพราะกระแสกดดันเกิดไปทั่วอเมริกาจึงประกาศรับคืนและเปลี่ยนสินค้า ซึ่งประเมินมูลค่าที่มีลูกค้าแห่กันเปลี่ยนทั้งหมดนั้นน่าจะเกิน 400 ล้านบาท
ในบ้านเราเองก็เพิ่งมีเรื่องราวใกล้เคียงกันแต่เป็นเรื่องเชิงบวกของสื่อออนไลน์ ซึ่งเก็บตกมาจากเว็บบอร์ดชื่อดัง pantip.com โดยต้นตอของเรื่องมาจากกระทู้ขอความช่วยเหลือจากคนที่ถูกขโมยบัตรเดบิตไปใช้
อันที่จริงเรื่องของบัตรเดบิตนั้นหากถูกขโมยหรือมีคนอื่นแอบเอาบัตรไปใช้ได้นั้นโอกาสจะได้เงินคืนนั้นยากเต็มทนเพราะเป็นการตัดบัญชีเจ้าของบัตรโดยตรงไม่เหมือนบัตรเครดิตที่จะมีรายการเรียกเก็บระหว่างธนาคารเจ้าของบัตรกับร้านค้าอีกครั้งหนึ่ง
แต่ทันทีที่กระทู้นี้ถูกโพสต์ คำแนะนำต่างๆ ก็หลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามา โดยเริ่มจากคำแนะนำให้ผู้เสียหายเอารายการทั้งหมดที่ถูกรูดผ่านร้านค้าต่างๆ มาให้สมาชิกดูเพื่อหาทางสืบสวนกันเองเพราะรู้ดีว่าคงพึ่งตำรวจไทยไม่ได้แน่ๆ
หลังจากวิเคราะห์รายการต่างๆ แล้ว สมาชิกคนหนึ่งจำได้ว่าหนึ่งในรายการนั้นเป็นชื่อปั๊มน้ำมันที่เขาเคยใช้บริการจึงแนะนำให้เริ่มต้นจากตรงนั้น ซึ่งไม่ผิดหวังครับเพราะปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่จะบันทึกหมายเลขทะเบียนไว้รถของลูกค้าเอาไว้ และที่พิเศษคือมีกล้องวิดีโอบันทึกภาพเอาไว้ด้วยทั้งหมด
และจากคำแนะนำของคนอื่นๆ อีกหลายๆ คน เช่นการขอความร่วมมือกับธนาคารเพื่อดูหน้าของคนที่นำบัตรไปใช้ การเช็ครายการใช้จ่ายจากห้างสรรพสินค้าต่างๆ และการขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดภายในห้างทำให้มั่นใจว่าภาพที่เห็นทั้งหมดนั้นเป็นคนๆ เดียวกันจนสามารถสืบได้ถึงชื่อ นามสกุลและสามารถตามถึงตัวเพื่อทวงเงินทั้งหมดกลับคืนมาได้ในที่สุด
ทั้งสองตัวอย่างเป็นพลังของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ฟังดูอาจไม่เกี่ยวข้องอะไรกับระบบรักษาความปลอดภัยแต่ผมเชื่อว่าตัวอย่างแรกนั้นความปลอดภัยทางการเงินของบริษัทจักรยานเจ้าปัญหานั้นคงตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่อีกตัวอย่างที่เกิดในบ้านเรานั้นก็แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยที่ได้จากระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งในธนาคาร ร้านค้า และสถานบริการ
ความสำเร็จหรือล้มเหลวจึงขึ้นอยู่กับมุมมองในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีว่าเราจะมองและใช้มันในมุมมองไหน เพราะโลกธุรกิจมีหลายมุม หลายมิติ ยิ่งมีไอทีเข้ามาเกี่ยวข้องก็ยิ่งซับซ้อนเพิ่มไปอีกหลายเท่า

ที่มา http://www.arip.co.th

อาชีพต้องห้าม

ข่าวหนุ่มอินโดนีเซียเจาะเว็บไซต์ของรัฐบาลไทยเพื่อโชว์แฟนสาวเมื่ออาทิตย์ที่แล้วทำให้ผมนึกถึง "ข้อสังเกต" ของตัวเองในวัยเด็กที่ใช้เวลาว่างนั่งวิเคราะห์ความนิยมของผู้เล่นกีฬายอดฮิตคือ "ฟุตบอล" แล้วได้ผลสรุปออกมาตรงใจผมอย่างยิ่งในวันนี้
ในสมัยมัธยมต้น กีฬายอดฮิตในโรงเรียนมีไม่กี่ประเภทหรอกครับ หลักๆ ก็ เทนนิส ซอฟต์บอล และแน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือฟุตบอล ที่ผมตั้งข้อสังเกตก็คือ เพราะเหตุใดหนอที่คนเล่นฟุตบอลทุกคนต่างก็แย่งกันเป็นศูนย์หน้า หรืออย่างน้อยได้เป็นกองหน้าก็ยังดี ตรงกันข้ามกับกองหลังซึ่งใครได้ตำแหน่งนี้ไปก็มักจะห่อเหี่ยวไปทันที ยิ่งได้เป็นโกลล์หรือผู้รักษาประตูนี่ก็แทบจะเลิกเล่นไปเลย
คำตอบที่ผมได้พบในวันนั้นก็คือ ฮีโร่ของเกมนี้คือผู้ยิงประตูได้นั่นเองครับ ดูจากภาพข่าวกีฬาทุกครั้งก็จะเห็นแต่ภาพการยิงประตูได้ จะหาภาพที่กองหลังทำหน้าที่ดี หรือยอดนายประตูที่เซฟลูกไว้ได้ก็มีน้อยเต็มทน หากเปิดเทปดูสัก 100 ข่าวก็จะเห็นภาพการยิงประตูประมาณ 98 ข่าวที่เหลืออีก 2 ข่าวก็จะแบ่งกันระหว่างกองหลังกับโกลล์
ดูสัดส่วนนี้แล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครยอมเป็นโกลล์ครับ เพราะหน้าที่นี้ "ทำดีก็เสมอตัว" และถ้าพลาดเมื่อไรก็เสียประตูเมื่อนั้น
คิดๆ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับหน้าที่ของ CIO ทุกวันนี้สักเท่าไรนัก เช่นเดียวกับข่าวการเจาะเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ หากไม่มีข่าวใดๆ หลุดออกมาเราก็คงไม่สนใจหน้าที่ฝ่ายไอทีในภาครัฐเป็นแน่ แต่เมื่อเป็นข่าวออกมาแล้ว รับรองได้ครับ ข่าวเชิงลบกระฉ่อนไปถึงไหนต่อไหนแน่นอน
ยังดีที่บ้านเรายังไม่มีตำแหน่ง System Security Manager เพราะถ้ามี ผมเชื่อว่าตำแหน่งนี้จะมีสถานะไม่ต่างอะไรไปจากผู้รักษาประตู คือทำดีก็เสมอตัว แต่ถ้าพลาดก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่ๆ และผมเชื่อว่าตำแหน่งนี้คงหาผู้มารับผิดชอบได้ยากเย็นเต็มทน
ดาวเด่นในฝ่ายไอทีทุกวันนี้หนีไม่พ้นคนที่รับผิดชอบในด้าน Interface ที่ใกล้ชิดกับฝ่ายบริหารได้มากที่สุด โดยเฉพาะด้านการนำเสนอข้อมูล ไม่ว่าจะเป็น Enterprise Resources, Customer Relationship Database, หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแสดงผลในรูปแบบต่างๆ ไม่ต่างอะไรกับ "ศูนย์หน้า" ที่มีแต่คนแย่งกันเล่น เพราะรู้ดีว่ามีโอกาสสร้างคะแนนนิยมได้สูงที่สุด
ตรงกันข้ามกับฝ่าย Security ที่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาหาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะช่องโหว่ของระบบที่พบได้เรื่อยๆ แทบจะทุกวัน หากแก้ไขและป้องกันได้ทันก็รอดตัวไป แต่ถ้าพลาดก็ทำใจได้เลยครับว่าในวันรุ่งขึ้นต้องถูกตำหนิและรุมประณามจากทุกฝ่าย
ก็ได้แต่เห็นใจและเอาใจช่วยแผนก "ปิดทองหลังพระ" ทุกท่านครับ เพราะโลกไอทีในวันนี้นอกจากจะ "เล็กลง" คือช่องทางในการสื่อสารเปิดกว้างให้กับคนทั้งโลกได้ง่ายๆ แล้ว ยัง "เบาลง" อีกมากเพราะการค้นคว้าหาข้อมูลใหม่โดยเฉพาะช่องโหว่ต่างๆ ของระบบนั้นหากันได้ง่ายๆ ผ่านเว็บบอร์ดและเว็บไซต์ต่างๆ ที่พูดคุยกันในเรื่องนี้โดยเฉพาะตรงกันข้ามกับในอดีตที่เราต้องหาหนังสืออ่านกันเป็นตั้งๆ กว่าจะได้ความรู้มากพอเอาไปทำอะไรทำนองนี้ได้
หวังว่าผู้อ่านที่ทำหน้าที่ในส่วนนี้คงยังไม่ท้อถอยหมดกำลังใจไปเสียก่อนนะครับ เพราะผมเชื่อว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป บทบาทของฝ่ายนี้จะมีแต่เพิ่มมากขึ้นๆ ตามความผันผวนของโลกไอทีซึ่งเราอาจต้องทำงานหนักขึ้นและหาข้อมูลมากขึ้นกว่าในอดีตหลายเท่า