เวลา.. ทุกคนมีเท่าๆ กัน แต่.. คุณค่า ของเวลาในแต่ละคน กลับไม่เท่ากัน..

31 มีนาคม 2552

ฝึกสมอง ให้เป็น คนเก่ง

อย่าทำงานซ้ำซ้อนในเวลาเดียวกันเพราะอาจเกิดการผิดพลาดได้ง่าย นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย“การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง” นี่คือคำกล่าวของนักประสาทวิทยาชาวสวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่าคนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดย ที่เราไม่ต้องใช้สมองจนเกินกำลังหรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเรา ให้มีประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน
* Multitasking คุณ กำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจ และระหว่างทางครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลงต่างๆ คุยโทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย แต่การทำงานหลายๆอย่างในคราวเดียวกัน มีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอี เมลล์ผิดให้กับคู่เจรจา ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทำงานหรือธุระใดๆก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกันเพื่อป้องกันการผิดพลาด
* สัญชาตญณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและออกความ เห็นในที่ประชุม โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิต ที่มีเงื่อนไขของเวลาเป็นเรงกดดันในการตัดสินใจ นักจิตวิทยาจึงแนะนำให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเอง หรือสัญชาตญาณที่เรานำไป ใช้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญ ก็ควรปรึกษาและขอความเห็น จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้และประสบการณ์จะดีกว่า
* กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง หาก จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทันความจำเป็นของคุณ สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือกาแฟสักหนึ่งถ้วยลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผล กระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น เพื่อนร่วมงานของคุณก็คงจะยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณ และคุณก็ยังได้สูดกลิ่นกาแฟไปด้วยการแข่งขันกระตุ้นสมอง ถ้าเรารู้ว่าเราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า “ศูนย์รับรางวัล” เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอลล์ในประเทศเยอรมนี โดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน หากใครตอบถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รับรางวัลของ ผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม
* สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน เสียง โทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆอย่างประเดประดังเข้ามา ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานยาก สมองก็จะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำเป็นประจำเพราะ มันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกิน กำลัง คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆบ้าง เพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่า โครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อ ได้เรียนสิ่งใหม่ๆและกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ทำให้แข็งแรงขึ้น และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆด้วยซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ
* สมองทำงานเหมือน Google จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ ศูนย์ความคิดของคนเราจะทำหน้าที่คล้ายๆกับ Google คือคิดตามลำดับ เช่น 1 2 3
* สมองต้องออกกำลัง แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้ เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง

24 มีนาคม 2552

การทำงานแบบคนไทยในมุมมองต่างชาติ

นี่คือความคิดเห็นที่มาจากมุมมองของผู้บริหารชาวต่างชาติ เกี่ยวกับการทำงานของคนไทย ซึ่งผมว่ามันเป็นความจริงทั้งนั้น ขนาดผมยังไม่ได้ทำงานยังเคยเจอแบบนี้เลยครับ












บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านิสัยเหล่านี้ ทำให้เกิดปัญหาในการทำงาน หรือ ทำให้ผลงานออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งผมว่าถึงยังไงลูกจ้างหรือพนักงานทั่วไป เขาก็ไม่ได้สนใจผลประกอบการอยู่แล้วเพราะมักจะทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม นั่นก็ทำให้ผู้บริหารชาวต่างชาติมักจะหัวเสียอยู่ไม่น้อย จริงๆ จะเป็นผู้บริหารประเทศไหนแม้แต่ผู้บริหารคนไทยก็หัวเสียอยู่เเล้วครับ ถ้าเจอนิสัยเเบบนี้ เพราะมันจะทำให้องค์กรประสบปัญหาต่างๆมากมาย เพราะปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นก็มักจะมาจาก คน ทั้งนั้น
แต่ผมก็มองเห็นข้อดีซ่อนอยู่เหมือนกันครับ เพราะเราเป็นแบบนี้ ทำให้เราไม่ประสบปัญหาโรคเครียด
และมีอาการป่วยทางจิต เหมือนในต่างประเทศที่เขามีค่านิยมในการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ และมี
การแข่งขันกันอย่างรุนแรง อย่างประเทศญี่ปุ่น หรือเยอรมัน
แต่สุดท้ายนี้ ถ้าเราสามารถแก้ตรงจุดด้อยของเราให้มีน้อยที่สุด พร้อมทั้งปรับปรุงจุดเด่นและมุมมองในการทำงานให้ดีกว่าเดิม ผมว่าคนไทยเราก็เก่งและมีฝีมือไม่แพ้ชาติใดอยู่เเล้วครับ

15 มีนาคม 2552

18 สาเหตุที่ทำให้อ่อนเพลีย และหมดแรง

ผมเป็นคนหนึ่งที่มักจะอ่อนเพลีย หรือ ไม่มีแรงอยู่บ่อยๆ ซึ่งมันไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะทำให้ งาน หรือกิจกรรมต่างๆที่เราทำนั้น ไม่ค่อยมี ประสิทธิภาพ
เเละผมบังเอิญไปเจอ บทความนึงที่เกี่ยวกับปัญหา ที่ทำให้อ่อนเพลียเเละหมดเเรง ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของต่างประเทศ เลยอยากนำมา นำเสนอในบล็อคครับ

1.ใช้โทรศัพท์มากเกินไป ผลงานวิจัย เขารายงานว่า ท่านจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูดติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า "phone-fatigue" ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า ( Call Center ) ซึ่งจากผลงานวิจัยและตรวจร่างกาย พบว่า อาการขาดน้ำ ทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ทำให้เลือดข้นมากกว่าปกติ การไหลเวียนของเลือดในร่างกายจะเชื่องช้า

วิธีแก้ไข หากท่านต้องใช้โทรศัพท์นาน หรือ มีอาชีพต้องใช้เสียงมากๆเช่น ครูอาจารย์ วิทยากร นักร้อง นักเทศน์ ท่านควรดื่มน้ำมากๆ ในระหว่างที่ต้องพูดคุยนาน หรือ ใช้เสียงของท่าน น้ำนั้นควรเป็นน้ำอุ่น ไม่ควรเป็นน้ำเย็น แม้น้ำส้มใส่น้ำแข็ง แม้น้ำมะนาวเย็น ก็มีอันตรายต่อกล่องเสียง ควรเป็นน้ำส้มไม่ใส่น้ำแข็งหรือ น้ำมะนาวอุ่น จะมีประโยชน์ต่อกล่องเสียง เส้นเสียง และลำคอของท่าน



2. ความดันเลือดต่ำความดันเลือดต่ำ คือสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ท่านหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลียได้อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุบปับหรือเวลายืนนานๆ

วิธีแก้ไข ถ้าท่านมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์



3.เล่นเกมส์หรือดูทีวีหรือเล่นอินเตอร์เน็ตดึกเกินไปฮอร์โมนเมลาโทนิน จะเป็นตัวกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์ จากจอทีวีจะทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่ตื่นเต้นหรือ น่าสนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึกและมีเวลานอนหลับน้อยลง

วิธีแก้ไข ท่านจะต้องหาอย่างอื่นมาทำแทนก่อนถึงเวลานอน ทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือสารคดี หนังสือธรรมะ ในระยะแรกอาจไม่คุ้นเคยแต่ทำไปสักระยะ จะเกิดความเคยชิน เป็นการสร้างเสริมนิสัยที่ดี


4. ขาดสารอาหารบางชนิดมักจะเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก คือ หนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง

วิธีแก้ไข ไม่ว่าผักผลไม้ หรือ อาหารอะไรที่ช่วยเพิ่มระดับสารอาหารให้ท่านจะต้องชวนขวายหามารับประทาน ซึ่งก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ท่านมีความกระปี้กระเปร่ากระฉับกระเฉงมากขึ้น


5. ไม่ออกกำลังกายนักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 20นาที แม้จะแค่ สัปดาห์ละครั้ง ก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายประมาณ 30% แต่ถ้าออกกำลังอย่างน้อย 20นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ในระยะยาวอาการอ่อนเพลียจะหายไปเลย นอกจากนี้ ให้กินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4 – 5 จานต่อวันจะไม่ค่อยมีอาการอ่อนเพลีย

วิธีแก้ไข ต้องออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 20 นาที หรือ ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วๆก็ได้ แต่ไม่ควรน้อยกว่าครั้งละ 20 นาทีและ กินผักผลไม้ให้มากขึ้น


6. อิทธิพลของเดือนเกิดมีนักสังเกตุ และ จดบันทึกว่า ความอ่อนเพลียและหมดแรง ของคนที่เกิดในเดือนต่างๆว่า มีนัยสำคัญที่ค่อนข้างแปลกว่าถ้าท่านเกิดเดือนธันวาคมหรือมกราคมท่านมักจะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนอื่น

วิธีแก้ไข กาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลังให้ได้ถ้าท่านเกิดเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคมท่านจะขี้เซาในยามเช้านักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ15นาทีจะทำให้ตาสว่าง



7. กรามแข็งคุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้แสดงว่าคุณคงมีปัญหาที่เรียกว่าโรคกรามแข็ง TMJ (temporomandi bular joint) แพทย์บอกว่า มันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลีย และปวดหัว ปวดคอ หรือปวดไหล่

วิธีแก้ไข ควรปรึกษาทันตแพทย์



8. มีราที่ม่านอาบน้ำ ที่คว่ำจานชาม ที่หน้าต่าง จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไป จะมีราขึ้นตามหน้าต่าง ขึ้นตามที่ล้างจานชาม และที่ม่านอาบน้ำ การแพ้เชื้อราเหล่านี้เอง คือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลียหมดแรง

วิธีแก้ไข ให้ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดบริเวณหน้าต่าง และตรวจดูผ้าม่านในห้องอาบน้ำ ตรวจดูที่คว่ำจานชามแก้วของท่าน รีบทำความสะอาด แล้วนำไปตากแดด



9.ไม่ได้เอาผ้าห่มและหมอนไปผึ่งแดดระดับความชื้นในผ้าห่มและหมอน จะทำให้ไรฝุ่นเจริญเติบโตได้ดี ไรฝุ่นมันจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท ทำให้เกิดเป็นหวัดได้ง่าย ซึ่งจะเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียหมดแรงในวันต่อมาได้

วิธีแก้ไข จะต้องนำผ้าห่ม และ หมอนไปผึ่งแดดเป็นประจำ เมื่อความชื้นในผ้าห่มและ หมอนหมดไป ก็จะไม่เป็นที่อยู่อาศัยของไรฝุ่นต่อไป การนอนของท่านก็จะหลับได้ดี ระบบการหายใจก็จะโล่ง อาการอ่อนเพลียหมดแรงก็จะหายไปได้



10. เชื่องช้างุ่มงามผู้ที่ทำอะไรเชื่องช้า หรือ งุ่มง่าม จะปรากฏว่าร่างกายกลับใช้พลังงานมากขึ้นเพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง อันเป็นต้นเหตุให้ร่างกายอ่อนเพลียได้

วิธีแก้ไข การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลังสลับทีละแขน จะช่วยให้อาการอ่อนเพลียหายไปได้



11.อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้ายคนที่มองทุกอย่างในแง่ร้าย จะดูดพลังของคนอื่นหดหายเข้าไปในตัวของเขา

วิธีแก้ไข พยายามอย่าไปสมาคมคบค้า หรือ อยู่ใกล้ชิดกับคนที่มองโลกในแง่ร้าย ยกเว้นว่า คุณเต็มใจที่จะถ่ายพลังงานในตัวคุณให้เขาดูดซับไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรท่านไม่ได้ เพราะท่านทำตัวของท่านให้อ่อนเพลียหมดแรงเอง



12. อยู่ใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้ามากเกินไปอุปกรณ์ไฟฟ้า และ อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ต่างๆ เช่น ปลั๊กไฟ หลอดไฟ วิทยุโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครี่องโทรศัพท์บ้าน เครี่องโทรศัพท์มือถือ ล้วนแต่เป็นตัวดูดพลังงานในร่างกายของเรา ที่ทำให้เราอ่อนเพลียหมดแรงและซึมเศร้าได้

วิธีแก้ไข ให้หาที่นอน หรือ ย้ายเตียงนอนให้ห่างจากอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ต่างๆให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ ห้ามวางโทรศัพท์มือถือไว้ใต้หมอน หรือ ใส่ในกระเป๋าเสื้อ หากท่านไม่ต้องการให้ตัวเองอ่อนเพลียหมดแรงและซึมเศร้า


13.ลืมดื่มกาแฟตอนเช้าหรือตอนสายหลายๆ ท่านที่ไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า หรือยามสาย พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนั้นๆ เพราะร่างกายติดคาเฟอินแล้ว จากงานวิจัยพบว่าผู้ร่วมวิจัยถึง 50% มีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า หรือยามสายและมีถึง13%ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยตลอดวัน

วิธีแก้ไข ให้ฝึกหัดดื่มกาแฟที่ไม่ต้องใส่น้ำตาล และ ครีมเทียม เพราะน้ำตาล และ ครีมเทียม มีอันตรายต่อสุขภาพมาก น้ำตาลเป็นอาหารของมะเร็ง และครีมเทียม เป็นไขมันตัวเลวที่จะไปทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันในหัวใจ และ สมอง


14.บ้านรกผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยยืนยันว่า กองสิ่งของสัมภาระต่างๆที่วางรกเกะกะภายในที่อยู่อาศัยนั้น จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในสถานที่นั้นๆ มีอาการอ่อนเพลียหมดแรงและ มีปัญหาสุขภาพ

วิธีแก้ไข ท่านไม่ต้องถึงกับเก็บกวาดทิ้งสิ่งของทุกอย่างในทันที อย่างน้อยจะต้องมีความตั้งใจที่จะเริ่มสะสางพื้นที่ใช้สอยในบริเวณบ้าน ทั้งหน้าบ้าน ข้างบ้าน และ ภายในตัวบ้าน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ถ้าท่านต้องการความมีสุขภาพที่ดี



15.ร่างกายมีปัญหาทุกคนควรสังเกตตัวเองว่า ร่างกายมีปัญหาอะไรหรือไม่ แม้ว่าการเจ็บหน้าอก คือ สัญญาณหลักๆบอกถึงอาการโรคหัวใจก็ตาม แต่สำหรับเพศหญิงสัญญาณนั้นอาจเป็นเรื่องความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70%ที่อ่อนเพลียภายในเดือนนั้นๆก่อนมีอาการหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆอาจรวมถึงการนอนไม่หลับ การหายใจขาดห้วง การหายใจไม่สุด การหายใจติดขัด อาหารไม่ย่อย และ ความเครียด 43%ของผู้หญิงที่เป็นโรคหัวใจ ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบมากแล้วก็ตามดังนั้น ถ้าท่านรู้สึกร่างกายมีสิ่งผิดปกติอย่างอื่น แม้ไม่ได้เจ็ยที่หัวใจก็ตาม อย่าปล่อนปละละเลย

วิธีแก้ไข ควรทำการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง เป็นเบาหวาน หรือ คนในครอบครัวเคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน เป็นต้น



16.การกลั้นหาวการหาวของคนเรานั้น เป็นวิธีทางธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่า การเคลื่อนไหวของกรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมองของคน การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้ และ จะทำให้คุณยิ่งอ่อนเพลียหมดแรง และง่วงนอนมากขึ้น

วิธีแก้ไข เมื่อรู้สึกอยากหาว ก็ให้หาวออกมา แต่ควรปิดปาก และ หันหน้าไปทางที่ไม่มีคนอยู่ จะได้ดูไม่น่ารังเกียจ



17.ความเครียดความเครียดทุกกรณี เป็นตัวทำให้อ่อนเพลียหมดแรง แม้ความเครียดในการใช้ชีวิตตามตารางเวลา หรือ ตามตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าจะต้องทำอะไรบ้างก่อนหลัง ในเวลาเท่าไร คือตัวดูดพลัง ที่ทำให้เกิดความเครียด และ เป็นตัวทำให้อ่อนเพลียหมดแรงได้



18.หมอนหนุนรองศีรษะเก่าเกินไปในกรณีถ้าหมอนหนุนนอนของท่านยวบยาบมากจนเกินไป จนทำให้ลำคอของท่านไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว หรือ รู้สึกนอนไม่สบาย ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัว ซึ่งจะทำให้ท่านนอนไม่ค่อยจะหลับสนิทแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจ ในเวลาที่ท่านหลับด้วย ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้วันรุ่งขึ้นนั้น ท่านจะมีอาการอ่อนเพลียหมดแรงได้ ท่านไม่ควรใช้หมอนใบนั้นหนุนนอนต่อไป

วิธีแก้ไข ท่านต้องรีบหาผ้ามาเสริมหนุนนอนเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ท่านเองรู้สึกนอนได้สบายกับสรีระร่างกายของท่าน จากนั้นก็ควรรีบหาซื้อหมอนใบใหม่มาหนุนแทนใบเก่าได้

10 มีนาคม 2552

ความหมายของ SWOT

กลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับองค์กรเพราะองค์กรใช้กลยุทธ์ในการทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตน โดยกลยุทธ์ของแต่ละองค์กรจะถูกกำหนดตามธรรมชาติและลักษณะขององค์กรนั้น ๆ ทั้งนี้ องค์กรจะกำหนดกลยุทธ์ได้นั้นต้องรู้สถานภาพหรือสภาวะขององค์กรของตนเสียก่อน
นอกจากนี้ยังต้องมีกระบวนการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับตนเอง วิธีการและเทคนิคในการวิเคราะห์สภาวะขององค์กรและกระบวนการกำหนดกลยุทธ์มีหลายวิธีด้วยกัน หนึ่งในวิธีการเหล่านี้ คือกระบวนการวิเคราะห์ SWOT ซึ่งเป็นวิธีการที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลาย

ความหมายของ SWOT
SWOT เป็นคำย่อมาจากคำว่า Strengths, Weaknesses, Opportunities, and Threats โดย
Strengths คือ จุดแข็ง หมายถึง ความสามารถและสถานการณ์ภายในองค์กรที่เป็นบวก ซึ่งองค์กรนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง การดำเนินงานภายในที่องค์กรทำได้ดี
Weaknesses คือ จุดอ่อน หมายถึง สถานการณ์ภายในองค์กรที่เป็นลบและด้อยความสามารถ ซึ่งองค์กรไม่สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง การดำเนินงานภายในที่องค์กรทำได้ไม่ดี
Opportunities คือ โอกาส หมายถึง ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่เอื้ออำนวยให้การทำงานขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง สภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการขององค์กร
Threats คืออุปสรรค หมายถึง ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่ขัดขวางการทำงานขององค์กรไม่ให้บรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึงสภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นปัญหาต่อองค์กร
บางครั้งการจำแนกโอกาสและอุปสรรคเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะทั้งสองสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้สถานการณ์ที่เคยเป็นโอกาสกลับกลายเป็นอุปสรรคได้ และในทางกลับกัน อุปสรรคอาจกลับกลายเป็นโอกาสได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้องค์กรมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แวดล้อม

07 มีนาคม 2552

ความหมายของ SAP และ ERP

ความหมายของ SAP
SAP คือ โปรแกรมที่ช่วยจัดการสายงานทุกสายงานของธุรกิจให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ สามารถนำไปใช้ประกอบการดำเนินกิจกรรมของธุรกิจได้ และผู้บริหารสามารถเรียกดูข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลสถานะของบริษัทได้

กล่าวโดยสรุป SAP (System Application products) เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปทางธุรกิจประเภท
ERP (Enterprise Resource Planning) ของประเทศเยอรมันที่ใช้ควบคุมดูแลทุกสายงานของบริษัท
ความหมายและลักษณะของ ERP

ERP (Enterprise Resource Planning) สามารถจัดการ Transaction Cycle ได้หมดดังนี้
- Expenditure
- Conversion
- Revenue
- Financial

ERP เป็น Software ที่ใช้ในการ Manage ได้ทั้งองค์กร โดยที่มี common Database เก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ที่เดียวกัน เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของข้อมูล ทำให้มีประสิทธิภาพ มีการ Share ข้อมูลสูงสุด โดยแต่ละส่วนสามารถดึงข้อมูลส่วนกลางที่ตัวเองสนใจมาวิเคราะห์ได้ และ สามารถที่จะ Integrate ได้หมดไม่ว่าจะเป็น Marketing Manufacturing Accounting และ Staffing

ก่อนที่จะมีระบบ ERP นั้น เดิมในวงการอุตสาหกรรมประมาณช่วงทศวรรษ 1960 ได้มีการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในส่วนของการผลิตทางด้านการคำนวณความต้องการวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หรือที่เรียกเป็นทางการว่าระบบ Material Requirement Planning ( MRP ) ก็คือเราจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการบริหารและจัดการในส่วนของวัตถุดิบหรือ Material ที่ใช้ในการผลิตเท่านั้น ต่อมาในช่วงประมาณทศวรรษ 1970 ระบบการผลิตในอุตสาหกรรมมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นจึงมีการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในส่วนของการผลิตในด้านของเครื่องจักร ( Machine ) และส่วนของเรื่องการเงิน ( Money ) นอกเหนือไปจากส่วนของวัตถุดิบ ซึ่งเราจะเรียกระบบงานเช่นนี้ว่า Manufacturing Resource Planning ( MRP II )

จากจุดนี้เราพอจะมองเห็นภาพคร่าวๆ ของการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการบริหารงานในอุตสาหกรรมได้ ดังที่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการหลายท่านได้กล่าวไว้ว่า ระบบ MRP นั้นจะเข้ามาช่วยในการจัดการทางด้าน Material ส่วนระบบ MRP II นั้นจะเข้ามาช่วยในการจัดการใน M อีกสองตัวนอกเหนือจาก Material ก็คือ Machine และ Money ซึ่งระบบ MRP II ที่ชื่อ TIMS ของประเทศนิวซีแลนด์ จะมีเมนูหลักของ Module 3 Modules หลักด้วยกันคือ Financial Accounting , Distribution และ Manufacturing และใน Module ของ Manufacturing จะมีส่วนของ MRP รวมอยู่ด้วย

จะเห็นได้ว่าในการนำเอาระบบ MRP II เข้ามาช่วยในองค์กรหนึ่งๆ นั้น จะยังไม่สามารถซัพพอร์ตการทำงานทั้งหมดในองค์กรได้ นี่จึงเป็นที่มาของระบบ ERP ซึ่งจะรวมเอาส่วนของ M ตัวสุดท้ายก็คือ Manpower เข้าไปไว้ในส่วนของระบบงานที่เรียกตัวเองว่า ERP นั่นเอง ดังนั้นระบบ ERP จึงเป็นระบบที่ใช้ในการบริหารงานทรัพยากรทั้งหมดในองค์กร ( Enterprise Wide ) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบ ERP จะเป็นระบบที่ใช้ในการจัดการ 4 M ซึ่งจะประกอบไปด้วย Material , Machine , Money และ Manpower นั่นเอง ดังนั้นถ้าเราเข้าไปดูที่เมนูหลักของระบบ ERP เราจะพบว่ามีเมนูของทั้ง MRP และ MRP II รวมอยู่ด้วยเพราะ ERP มีต้นกำเนิดมาจากระบบ MRP และ MRP II นั่นเอง

ERP จะเน้นให้ทำ Business Reengineering เพื่อปรับปรุงระบบให้เข้ากับ ERP ซึ่งจะแบ่ง Function Area เป็น 4 ส่วนหลักๆ คือ1. Marketing Sales2. Production And Materials Management3. Accounting And Finance4. Human Resourceแต่ละส่วนจะมี Business Process อยู่ในนั้น ซึ่งจะมีหลาย Business Activity มาประกอบกัน เช่น activity การออก Invoice เป็น Activity แต่ละ Activity จะไปต่อเนื่องกันหลายๆอันออกไปจนกลายเป็น Process ที่เรียกว่า “Computer Order management” ซึ่งจะไปเกี่ยวข้องกับ Functional Area ที่เรียกว่า “Marketing And Sale”Concept หลักๆของ ERP คือ เอาทุกข้อมูลของแต่ละแผนกมา Integrate กัน เพื่อ Share ข้อมูลกัน

ผลิตภัณฑ์ของ SAP
ระบบ SAP ประกอบด้วย หลาย module ของแต่ละส่วนของการจัดการที่เอามารวมกันและทำงานร่วมกัน เนื่องด้วยตลาดและความต้องการของลูกค้าเป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของระบบ มีบริษัท software ที่พยายามสร้างโปรแกรมที่สนับสนุนแต่ละส่วนของธุรกิจ ในขณะที่ SAP พยายามสร้าง software ที่เหมาะสม กับทุกธุรกิจ SAP โดยให้โอกาสเลือกใช้แค่ระบบเดียวแต่สามารถทำงานได้กับทุกส่านของธุรกิจ ทั้งยังสามารถติดตั้ง R/3 application มากกว่า 1 ตัวเป็นการเพิ่มความเร็วในการทำงาน SAPมีหลาย Module มีหน้าที่ที่ต่างกัน แต่ทำงานร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียว (แต่ละ Module คือแต่ละส่วนของธุรกิจ) ผลิตภัณฑ์SAPมี 2 กลุ่ม คือ SAP R/2 ใช้สำหรับเมนเฟรม และ SAP R/3 ใช้กับระบบ client/server SAP เป็นบริษัทของ German แต่แยกการทำงานเป็น บริษัทย่อย, หุ้นส่วน, และ พันธมิตรทางธุรกิจทั่วโลก

หลักการเขียนโปรแกรม 50 ข้อ

1.โปรแกรมแบบพอเพียง(ทำอะไรให้เล็กที่สุดเท่าที่เป็น ไปได้)

2.ทำสิ่งธรรมดาให้ง่าย ทำสิ่งยากให้เป็นไปได้

3.จงโปรแกรมโดยนึกว่าจะมีคนมาทำต่ออย่างแน่นอน

4.ระเบียบ กฏข้อบังคับ เชื่อมั่นไม่ได้แล้ว ถ้ามีเพียงหนึ่งโมดูลไม่ปฏิบัติตาม

5.ตัดสินใจให้ดีระหว่างความชัดเจน(clearance) กับ การขยายได้(extensibility)

6.อย่าเชื่อมั่น output จากโมดูลอื่น ถึงแม้เราจะเป็นคนเขียนเอง

7.ถ้าคนเขียนยังเข้าใจได้ยาก แล้วคนอ่านจะเข้าใจได้ยากกว่าแค่ไหน

8.ค้นหาข้อมูลสามวันแล้วทำหนึ่งวัน หรือจะทำสามวันแล้วแก้บั๊กตลอดไป

9.จงสร้างเครื่องมือ ก่อนทำงาน

10.อย่าโทษโมดูลอื่นก่อน โดยเฉพาะถ้าโมดูลอื่นเป็น OS และ Compiler

11.พยายามทำตามกฏ แต่ถ้ามีข้อยกเว้น ต้องมีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วประกาศและตะโกนให้ดังที่สุด

12.High cohesion Loose coupling. (ยึดเกาะให้สูงสุดในโมดูล และ เกาะเกี่ยวกับโมดูลอื่นให้น้อยที่สุด)

13.ให้สิ่งที่เกี่ยวข้องกันยิ่งมากอยู่ไกล้กันมากที่สุด

14.อย่าเชื่อโดยไม่พิสูจน์

15.อย่าลองทำแล้วคอมไพล์ดู ถ้าเราไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์อะไรไว้ (อย่างเช่นปัญหา index off by one)

16.จงกระจายความรู้เพราะนั่นคือการทำ Unit Test ระดับล่างสุด(ระดับความคิด)

17.อย่าเอาทุกอย่างใส่ใน UI เพราะ UI คือส่วนที่ Unit Test ได้ยาก

18.ทั้งโปรเจ็คต์ควรไปในทางเดียวกันมากที่สุด( Consistency )

19.ถ้ามีสิ่งที่ดีอยู่แล้วจงใช้มัน อย่าเขียนเอง ถ้าจำเป็นต้องเขียนเอง ให้ศึกษาจากข้อผิดพลาดในอดีตก่อน

20.อย่ามั่นใจเอาโค้ดไปใช้จนกว่าจะ test อย่างเพียงพอ

21.เอาโค้ดที่ test ไว้ที่เดียวกันกับโค้ดที่ถูก test เสมอ

22.ทุกครั้งที่แก้ไขโค้ดให้ run unit test ทุกครั้ง

23.จงใช้ Unit Test แต่อย่าเชื่อมั่นทุกอย่างใน Unit Test เพราะ Unit Test ก็ผิดได้

24.ถ้าต้องทำอะไรที่ซ้ำกันมากกว่าหนึ่งครั้ง ก็เพียงพอแล้วที่จะแยกโค้ดส่วนนั้นออก

25.ทำให้ใช้งานได้ก่อน แล้วค่อย optimize และถ้าไม่จำเป็น อย่าoptimize

26.ยิ่งประสิทธิภาพเพิ่ม ความเข้าใจง่ายจะลดลง

27.ใช้ Design Pattern ที่เป็นที่รู้จักจะได้คุยกับใครได้รู้เรื่อง

28.อย่าเก็บไว้ทำทีหลัง ถ้ายังไงก็ต้องทำ

29.MutiThreading ไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่มันมาพร้อมกับ Concerency, Deadlock,IsolationLevel, Hard to debug, Undeterministic Errors.

30.จงทำอย่างโจ่งแจ้ง

31.อย่าเพิ่ม technology โดยไม่จำเป็น เพราะนั่นทำให้โปรแกรมเมอร์ต้องวุ่นวายมากขึ้น

32.จงทำโปรเจ็คต์ โดยคิดว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ

33.อย่าย่อชื่อตัวแปรถ้าไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้ IDE มันช่วยขึ้นเยอะแล้วไม่ต้องพิมพ์เองแค่ dot มันก็ขึ้นมาให้เลือก

34.อย่าใช้ i, j , k , result, index , name, param เป็นชื่อตัวแปร

35.ทำโค้ดที่ต้องสื่อสารผ่านเครือข่ายให้คุยกันน้อยท ี่สุด

36.แบ่งแยกดีดี ระหว่าง Exception message ในแต่ละเลเยอร์ ว่าต้องการบอกผู้ใช้ หรือ บอกโปรแกรมเมอร์

37.ที่ระดับ UI ต้องมี catch all exception เสมอเพื่อกรอง Exception ที่ลืมดักจับ

38.ระวัง คอลัมภ์ allow null ใน database ดีดี ค่า มัน convert ไม่ได้

39. อย่าลืมว่า Database เป็น global variable ประเภทหนึ่ง แต่ละโปรแกรมที่ติดต่อเปรียบเหมือน MultiThreading ดังนั้นกฏของ Multithreading ต้องกระทำเมื่อทำงานกับ Database

40.ระวังอย่าให้ logic if then else ซ้อนกันมากมาก เพราะสมองคนไม่ใช่ CPU จินตนาการไม่ออกหรอกว่ามันอยู่ตรงไหนเวลา Debug (ถ้ามากกว่าสามชั้นก็ลองคิดใหม่ดูว่าเขียนแบบอื่นได้ มั้ย)

41.ระวังอย่าให้ลูปซ้อนกันมากมาก ไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอย่างเดียว เวลา Debug เราคิดตามมันไม่ได้ (ถ้าเกินสามชั้นก็ไม่ไหวแล้ว)

42. อย่าใช้ Magic Number ใน Code เช่น if( controlingValue == 4 ) เปลี่ยนไปใช้ Enum ดีกว่า เป็น if( controlingValue == ControllingState.NORMAL ) เข้าใจง่ายกว่ามั้ย

43.ถ้าจะเปรียบเทียบ string Trim ซ้ายขวาก่อนเสมอ

44.คิดหลายๆ ครั้งก่อนใช้ Trigger

45.โปรแกรมเมอร์คือห่วงโซ่สุดท้ายของมลพิษทางความซับ ซ้อน ดังนั้นหา project leader ดีดีแล้วกัน

46. มนุษย์ฉลาดกว่าคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมก็คือการสอนให้คอมพิวเตอร์ฉลาดได้เหมือนเรา

47. จงควบคุมคอม มิใช่ให้คอมควบคุมเรา เราต้องสั่งให้คอมทำงาน ไม่ใช่ให้เราทำงานตามคอมสั่ง

48. อย่าปล่อยให้ข้อจำกัดของคอม มาจำกัดความคิดของเรา

49. ยอมรับความคิดของผู้อื่น แต่อย่าออกจากกรอบของตนเอง

50. หมั่น Save โปรแกรมไว้อย่าสม่ำเสมอ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส Save [จะให้ดี Save เป็นแต่ละ Version เลย]

21 กุมภาพันธ์ 2552

ความรู้เพื่อการนอนหลับที่ดี

ความรู้เพื่อการนอนหลับที่ดี
สมองและร่างกายใช้เวลาช่วงนอนหลับในการบำรุงซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สึกหรอ เพื่อให้ร่างกายมีประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน ในวันรุ่งขึ้น การนอนหลับที่เพียงพอ จึงมีความสำคัญต่อ คุณภาพชีวิต ที่ดีของเรา หากท่านสังเกตดูคนที่นอนไม่เพียงพอ หรืออดนอนนานๆ ประสิทธิภาพต่างๆ ในการทำงานจะลดลงเนื่องจากสมองล้า ร่างกาย อ่อนเพลีย และขาดสมาธิ นอกจากนี้ในผู้ที่นอนไม่หลับเรื้อรัง อาจมี ความวิตกกังวลตึงเครียดง่าย โดยเฉพาะอย่างช่วงเวลาจะเข้านอน เตียงนอนอาจเป็น ที่ไม่สบอารมณ์ได้ง่าย เมื่อถึงเวลานอนเวลานอนกลายเป็นที่ๆ ทำให้วิตก กังวลเมื่อนึกถึงว่า คืนนี้จะหลับได้หรือไม่ หรือคืนนี้คงไม่หลับ อีกตามเคย
อย่างไรก็ตาม อาการนอนไม่หลับและอาการวิตกกังวล ตึงเครียด เหล่านี้สามารถลดลงหรือหายไปได้ หากมีการปฏิบัติสุขอนามัยการนอนหลับ (sleep hygiene) และฝึกให้มีพฤติกรรมที่ส่งเสริมการนอนหลับ ซึ่งทุกคนสามารถปฏิบัติได้เอง

การเข้านอนและตื่นนอนตรงเวลาทุกวันจะทำให้เกิดความเคยชิน อยากนอนและตื่นเมื่อถึงเวลา และหากในคืนที่ถัดมาท่านนอนดึกกว่าปกติ ท่านควรตื่นสายหน่อยหรือตรงเวลาเดิมดี คำตอบที่ถูกคือ พยายามตื่นตรง เวลา แม้ท่านจะง่วงในระหว่างวันบ้าง แต่ตกดึกท่านจะหลับได้อย่างรวดเร็ว ลุกจากเตียงนอนทันทีเมื่อตื่น เปิดหน้าต่างสัมผัสแสงสว่างช่วงเช้าๆ (6-7 นาฬิกา) กายบริหารหลังตื่นเบาๆ สัก 10-15 นาที ก่อนทำกิจกรรม อื่นต่อไป จะช่วยให้สมองและร่างกายตื่นตัว สามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้ดีกว่า

หลีกเลี่ยงการงีบหลับในระหว่างวัน เพราะจะรบกวนการนอนที่ต่อเนื่อง ในตอนกลางคืนได้ สำหรับท่านที่ง่วงจนทนไม่ไหวอาจงีบช่วงกลางวันสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที กายบริหาร หรือออกกำลังกายสม่ำเสมออย่าง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วงเช้าตรู่หรือตอนเย็น จะช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ แต่ไม่ควรปฏิบัติค่ำเกินไป เพราะจะรบกวนการนอนหลับได้
อย่าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ช่วงเย็นถึงก่อนนอน ไม่ควรดื่ม คาเฟอีน เกินวันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงการดื่มกาเฟอีนช่วงบ่ายลงๆ ถึงเวลานอน อย่าสูบ บุหรี่ก่อนนอนหรือกลางดึก

อย่านอนเล่นนานๆ บนเตียงไม่ใช้เตียงนอนเป็นที่สำหรับอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือทำงานอื่นๆ การปฏิบัติกิจกรรมที่ไม่ใช่การนอนหลับบนเตียง จะเร้า ความรู้สึกตื่นในขณะที่เราอยากหลับได้

ปรับอุณหภูมิที่พอดีในขณะหลับ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป ห้องนอน ที่เงียบและมืด จะช่วยให้เกิดการนอนหลับที่ดี อาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารมื้อเบาๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภท เนื้อ หรือ โปรตีนมากๆ และหากทานอาหารมื้อก่อนนอนด้วย ควรเป็นเพียงนมหรือ อาหารประเภทมอลล์สกัด น้ำผลไม้ก็เพียงพอแล้ว การนอนหลับจะเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายและอารมณ์อยู่ในสภาพผ่อนคลาย ดังนั้นขณะเข้านอนหากร่างกายและอารมณ์อยู่ในสภาพตึงเครียดไม่ผ่อนคลาย จะไม่สามารถหลับลงอย่างง่ายดาย จึงควรจัดช่วงเวลาสำหรับ
ผ่อนคลายอารมณ์เป็นกิจวัตรประจำวัน ช่วง 1-2 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน โดยหลีกเลี่ยง การทำงานหรือกิจกรรม
ที่ตึงเครียด 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน และหากท่าน เป็นคนตึงเครียดง่าย หรือมีเรื่องที่ต้องขบคิดจำนวนมากตลอดวัน แนะนำ ให้ปฏิบัติดังนี้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ หลังอาหารมื้อเย็น จดลำดับเรื่องต่างๆ ที่ทำให้ คิด หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้า และวางแผนจัดการ แต่ละเรื่อง อย่างคร่าวๆ สั้นๆ ให้ปฏิบัติทุกวันจนเคยชิน

และหากท่านเข้านอน 15-30 นาที แล้วยังไม่หลับ ให้ลุกจากเตียง หาอะไร ทำเบาๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เปิดเฉพาะแสงไฟอ่อนๆ หลีกเลี่ยงการดูทีวี ฟังข่าว (เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ตื่น) กลับมาที่เตียง
เมื่อง่วงเท่านั้น อย่านอนแช่ อยู่บนเตียงโดยไม่หลับถึงเช้า เพราะจะกระตุ้น ให้เกิดความวิตกกังวล เมื่อเข้า นอนในคืนถัดๆ มาหากไม่ง่วงเลย อาจใช้ยา ช่วยให้หลับเป็นครั้งคราวได้

การปฏิบัติสุขอนามัยการนอนที่ถูกต้อง และการขจัดพฤติกรรม ที่รบกวนการนอน ฝึกให้มีพฤติกรรม ที่ส่งเสริมการนอนหลับที่ดี ควรปฏิบัติ ต่อเนื่องอย่างน้อย 6-10 สัปดาห์ พบว่า ช่วยให้เกิดการนอนหลับที่ง่ายขึ้น

ในผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการนอนไม่หลับควรปฏิบัติ สุขอนามัยการ นอนหลับ และปรับพฤติกรรมการนอนตั้งแต่แรก จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา นอนไม่หลับ เรื้อรังได้

ในผู้ที่ใช้ยาช่วยให้หลับต่อเนื่องมานานกว่า 3-6 เดือน หากหยุดยา ทันทีอาจเกิดอาหารนอนไม่หลับใหม่ จำเป็นต้องค่อยๆ ลดยาลงเรื่อยๆ ร่วมกับการปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น จนสามารถ หยุด

16 กุมภาพันธ์ 2552

จาก 3G สู่ 4G

3G สู่ 4G ?
โดย ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
เทคโนโลยียุค 3G (Third Generation) ของโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นการเปลี่ยนแปลง (Transition) ที่สำคัญอย่างยิ่งขององค์กรธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ไทย เนื่องจากจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของวิศวกรรมโทรคมนาคม คือการวางแผนและโครงการเพื่อทำการเชื่อมต่อโครงข่ายเดิม ที่เป็นระบบ GSM (2G) เข้ากับโครงข่าย 3G ซึ่งจะใช้เทคโนโลยี Wideband Code Division Multiple Access (WCDMA) โดยมีองค์กร ITU (International Telecommunication Union) และ IMT2000 (International Mobile Telecommunications for the year 2000) เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน 3G นี้และเป็นที่ยอมรับกันแล้วทั่วโลกแล้ว
ส่วนในการวางแผนการตลาด ผู้ให้บริการต้องประชาสัมพันธ์ และสร้างโปรโมชั่น รวมทั้งสร้างแบรนด์ให้ผู้ใช้บริการรู้สึกถึงประโยชน์และความสำคัญที่มีต่อชีวิตประจำวัน โดยผู้ให้บริการควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนกับผู้ใช้บริการ ถึงความสามารถทางด้านมัลติมีเดียของระบบ 3G เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้ให้บริการ มักจะสร้างภาพโฆษณาทางโทรทัศน์ไปในลักษณะมีตัวละครที่โดดเด่นดูแล้วทันสมัย มีเสน่ห์ แต่ไม่เคยที่จะสร้างให้เห็นถึงประโยชน์ของ application ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
ดังนั้น ควรหันมาสร้างการโฆษณาที่มีการแสดงให้เห็นถึงความทันสมัย และประโยชน์ร่วมกันไป จึงจะทำให้การสร้างฐานลูกค้าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงความสงสัยอาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการและเกิดคำถามว่า “อะไรคือ 3G” ประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศแรกของโลก ที่ประกาศใช้เทคโนโลยี 3G ในปีที่แล้ว (ปี 2001)
หลักพื้นฐาน(Requirement) ที่ต้องมีใน 3G มีดังนี้ คือ
1. คุณภาพของเสียงต้องมีคุณภาพใกล้เคียงกับโทรศัพท์พื้นฐาน
2. สามารถส่งข้อมูล Multimedia ด้วยความเร็วสูง (สูงกว่า144 Kbps)
3. สามารถสนับสนุนการส่งข้อมูลทั้งแบบ Packet switch และ Circuit switch
4. มีการใช้แถบความถี่อย่างมีประสิทธิภาพ
5. สนับสนุนการใช้งาน อุปกรณ์เคลื่อนที่ได้หลายรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ให้บริการในประเทศไทยยังใช้โครงข่ายเทคโนโลยี GSM อยู่ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ประโยชน์กับระบบที่มีอยู่อย่างสูงสุด และต้องทำการเตรียมการกับจุดเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ 3G (Migrating to 3G) อย่ามองเพียงแต่สร้าง Brand ให้ดูเหมือนเป็น 3G แต่เทคโนโลยีที่แท้จริงในเชิงวิศวกรรมนั้นไม่ใช่ 3G จริง ถ้าผู้ใช้บริการรู้ว่า เป็นเพียงการสร้างภาพ 3G แบบหลอกๆ ซึ่งเป็นเพียงการสร้างภาพโดยอาศัยยุทธวิธีทางการตลาด อาจจะทำให้คู่ต่อสู้ใช้มาเป็นจุดโจมตี และสถานการณ์อาจพลิกผันจากผู้ครองอาณาจักรเทคโนโลยีมาเป็นผู้ตามเทคโนโลยีแทนก็เป็นได้
คำถามต่อไปคือ “อะไรคือ 4G” ขณะนี้ อาจตอบได้อย่างกว้างๆว่า เทคโนโลยี 4G นั้นมีมาตรฐานการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 20 Megabits/second รวมทั้งยังมีการบริหารข้อมูลแบบ Knowledge base system ให้กับผู้ใช้บริการด้วย
ขณะนี้ NTTDoCoMo และ Hewlett-Packard ได้ประกาศถึงความร่วมมือในการพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G แล้ว โดยตั้งชื่อโครงการนี้ว่า MOTO-Media โดยที่ DoCoMo มีแผนให้บริการในปี 2010 อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็คาดว่าจะสามารถทดลองเริ่มให้บริการได้ในปี 2006

การต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านbluetooth

การต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านมือถือแบบ GPRSโดยใช้อุปกรณ์ Bluetooth
อินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านมือถือด้วยระบบ GPRS ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของการใช้งานอินเตอร์เน็ต เพราะว่า ในช่วงนี้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ หลาย ๆ ค่าย ก็มีการทำโปรโมชั่นด้านราคา ออกมาค่อนข้าง น่าใช้งาน มาก โดยมีราคาถูกลงกว่าเดิมมาก และยิ่งถ้านับเรื่องความสะดวก สำหรับผู้ที่ต้องการ ใช้งานอินเตอร์เน็ตนอกสถานที่ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง แนวทางที่น่าสนใจทีเดียว
ก่อนอื่น มาดูรูปแบบต่าง ๆ ของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ผ่านมือถือก่อน โดยทั่วไปแล้ว การที่เราจะสามารถทำการ เชื่อมต่อ เครื่องคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ จะแบ่งวิธีการเชื่อมต่อออกเป็น 3 รูป แบบคือ
1. ผ่านสาย Datalink กรณีนี้ ส่วนมาก จะต้องมีสาย Datalink และ software เฉพาะของมือถือแต่ละรุ่น ซึ่งค่อนข้างจะแพง2. ผ่าน IrDA หรืออินฟาเรด โดยวิธีนี้ จะเหมาะกับมือถือรุ่นเก่า ๆ ข้อเสียคือเวลาใช้งานจะต้องเอา irda มาจ่อให้ตรงกันตลอด 3. ผ่าน Bluetooth หรือระบบเชื่อมต่อไร้สาย วิธีนี้จะสะดวกมาก ไม่มีสาย แต่มือถือที่รองรับ bluetooth จะค่อนข้างแพง
ในที่นี้ จะขอแนะนำการต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน bluetooth โดยอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทดสอบคือ Bluetooth แบบ USB ของ CSR USB Bluetooth และโทรศัพท์มือถือ Sony Ericsson รุ่น T610 โดย SIM ของมือถือที่จะใช้งาน ต้องผ่านการเปิดใช้บริการ GPRS และตั้งค่าใช้งาน GPRS บนเครื่องโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถดูวิธีการตั้งค่าจากระบบต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ระบบ AIS- ระบบ DTAC- ระบบ Orange
หรือจะโทรสอบถามจาก call center ของแต่ละระบบก็ได้
การเชื่อมต่ออุปกรณ์ 2 ชิ้นเข้าด้วยกันเพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth นั้น เราสามารถเลือกใช้บริการต่าง ๆ ได้หลายอย่าง เช่น การรับ-ส่งไฟล์ ระหว่างกัน การจำลองให้เป็น Serial Port หรือการ เชื่อมต่อเพื่อแชร์เน็ตก็ได้ แต่ในที่นี้ จะขอแนะนำ แค่เพียง การนำเอา ระบบ Bluetooth มาเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ ใช้เล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ เท่านั้นครับ
ขั้นตอนหลักใหญ่ ๆ ในการเซ็ตค่าต่าง ๆ ให้เล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ
1. เปิดการใช้งานระบบ GPRS ของมือถือก่อน และเซ็ตค่าสำหรับ GPRS ในเครื่องโทรศัพท์ให้เรียบร้อย2. ลง Driver ของ USB Bluetooth และเปิดใช้งาน Service ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Dial-Up Networking3. ทำการจับคู่หรือ Pairing ระหว่างมือถือและ PC ให้ทั้งสองรู้จักกันได้4. สร้าง Dial-Up Connection สำหรับใช้ต่ออินเตอร์เน็ต5. เรียกใช้งานผ่าน Dial-Up Connection ได้เลย

13 กุมภาพันธ์ 2552

อย่าไว้ใจเทคโนโลยี

ดูเหมือนเป็นเรื่องจากปกที่พูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยในระบบไอทีแต่ผิดครับ!
ความหมายที่ผมอยากสื่อก็คืออย่าคิดว่าเทคโนโลยีพื้นๆ อย่างเว็บบล็อกและเว็บบอร์ดจะเป็นเพียงแหล่งมั่วสุมของกลุ่มคนไซเบอร์จนไม่น่าจะมีนัยสำคัญอะไรในเชิงธุรกิจ
หลายๆ ครั้งเราเห็นการกระพือข่าวเชิงลบของสินค้าและบริการต่างๆ ในเว็บบอร์ดผ่านมาและผ่านไปอย่างไม่สนใจเท่าไรนักเพราะไม่คิดว่าความรุนแรงของมันจะขยายวงกว้างไปได้ ผิดกับกรณีลูกค้า “ทุบรถ” ผ่านสื่อทีวีที่ผลตอบรับนั้น “แรง” กว่ากันเยอะ
มาดูข่าวนี้แล้วเราอาจต้องคิดกันใหม่ครับ เพราะระยะเวลาเพียงแค่ 10 วันแต่กลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันในเว็บบอร์ด “เฉพาะกลุ่ม” เช่น bikeforum.net ที่มีแต่ความเห็นถึงเรื่องจักรยานซึ่งเป็นงานอดิเรก (ราคาแพง) ดูแล้วก็ไม่น่ามีพิษสงอะไรต่อธุรกิจได้มากนัก กลับสอนมวยบริษัทใหญ่จนต้องเสีย “ค่าโง่” เป็นเงินมหาศาลกว่า 400 ล้านบาท
เรื่องของเรื่องคือสมาชิกของเว็บบอร์ด bikeforum.net คนหนึ่งเกิดพบว่าจักรยานรุ่นล่าสุดของผู้ผลิตชื่อดังซึ่งมีจุดขายคือระบบล็อกที่คิดค้นขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ นั้นทำท่าว่าจะเป็นจุดขายแบบลมๆ แล้งๆ เพราะเขาลองใช้ปากกาลูกลื่นธรรมดาๆ และความรู้ทางกลไกเล็กน้อยก็จัดการกับเจ้าล็อกที่ว่านี้ได้แล้ว เว็บบอร์ดนี้จึงกลายเป็ดจุดเริ่มแรกของการเปิดเผยข้อบกพร่องดังกล่าว
สี่วันให้หลัง บริษัทผู้ผลิตจักรยานยังคงยืนยันประสิทธิภาพของระบบล็อกดังกล่าวและไม่เชื่อว่าจะมีคนถอดล็อกของตัวเองได้ง่ายๆ เหมือนในเว็บบอร์ด แต่ไม่กี่วันต่อมาวิดีโอคลิปเผยแพร่วิธีปลดล็อกก็แพร่ไปทั่วในหมู่นักปั่นจักรยาน และจำนวนผู้เข้าอ่านเรื่องดังกล่าวผ่านเว็บบอร์ดและเว็บบล็อกก็มีจำนวนสูงสุดถึงเกือบสองล้านคนต่อวันเพียงช่วงอาทิตย์แรกนับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น
อีก 3 วันถัดมา บริษัทผู้ผลิตจึงอ่านเกมออกและรู้ตัวว่าควรจะทำอย่างไรเพราะกระแสกดดันเกิดไปทั่วอเมริกาจึงประกาศรับคืนและเปลี่ยนสินค้า ซึ่งประเมินมูลค่าที่มีลูกค้าแห่กันเปลี่ยนทั้งหมดนั้นน่าจะเกิน 400 ล้านบาท
ในบ้านเราเองก็เพิ่งมีเรื่องราวใกล้เคียงกันแต่เป็นเรื่องเชิงบวกของสื่อออนไลน์ ซึ่งเก็บตกมาจากเว็บบอร์ดชื่อดัง pantip.com โดยต้นตอของเรื่องมาจากกระทู้ขอความช่วยเหลือจากคนที่ถูกขโมยบัตรเดบิตไปใช้
อันที่จริงเรื่องของบัตรเดบิตนั้นหากถูกขโมยหรือมีคนอื่นแอบเอาบัตรไปใช้ได้นั้นโอกาสจะได้เงินคืนนั้นยากเต็มทนเพราะเป็นการตัดบัญชีเจ้าของบัตรโดยตรงไม่เหมือนบัตรเครดิตที่จะมีรายการเรียกเก็บระหว่างธนาคารเจ้าของบัตรกับร้านค้าอีกครั้งหนึ่ง
แต่ทันทีที่กระทู้นี้ถูกโพสต์ คำแนะนำต่างๆ ก็หลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามา โดยเริ่มจากคำแนะนำให้ผู้เสียหายเอารายการทั้งหมดที่ถูกรูดผ่านร้านค้าต่างๆ มาให้สมาชิกดูเพื่อหาทางสืบสวนกันเองเพราะรู้ดีว่าคงพึ่งตำรวจไทยไม่ได้แน่ๆ
หลังจากวิเคราะห์รายการต่างๆ แล้ว สมาชิกคนหนึ่งจำได้ว่าหนึ่งในรายการนั้นเป็นชื่อปั๊มน้ำมันที่เขาเคยใช้บริการจึงแนะนำให้เริ่มต้นจากตรงนั้น ซึ่งไม่ผิดหวังครับเพราะปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่จะบันทึกหมายเลขทะเบียนไว้รถของลูกค้าเอาไว้ และที่พิเศษคือมีกล้องวิดีโอบันทึกภาพเอาไว้ด้วยทั้งหมด
และจากคำแนะนำของคนอื่นๆ อีกหลายๆ คน เช่นการขอความร่วมมือกับธนาคารเพื่อดูหน้าของคนที่นำบัตรไปใช้ การเช็ครายการใช้จ่ายจากห้างสรรพสินค้าต่างๆ และการขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดภายในห้างทำให้มั่นใจว่าภาพที่เห็นทั้งหมดนั้นเป็นคนๆ เดียวกันจนสามารถสืบได้ถึงชื่อ นามสกุลและสามารถตามถึงตัวเพื่อทวงเงินทั้งหมดกลับคืนมาได้ในที่สุด
ทั้งสองตัวอย่างเป็นพลังของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ฟังดูอาจไม่เกี่ยวข้องอะไรกับระบบรักษาความปลอดภัยแต่ผมเชื่อว่าตัวอย่างแรกนั้นความปลอดภัยทางการเงินของบริษัทจักรยานเจ้าปัญหานั้นคงตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่อีกตัวอย่างที่เกิดในบ้านเรานั้นก็แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยที่ได้จากระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งในธนาคาร ร้านค้า และสถานบริการ
ความสำเร็จหรือล้มเหลวจึงขึ้นอยู่กับมุมมองในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีว่าเราจะมองและใช้มันในมุมมองไหน เพราะโลกธุรกิจมีหลายมุม หลายมิติ ยิ่งมีไอทีเข้ามาเกี่ยวข้องก็ยิ่งซับซ้อนเพิ่มไปอีกหลายเท่า

ที่มา http://www.arip.co.th

อาชีพต้องห้าม

ข่าวหนุ่มอินโดนีเซียเจาะเว็บไซต์ของรัฐบาลไทยเพื่อโชว์แฟนสาวเมื่ออาทิตย์ที่แล้วทำให้ผมนึกถึง "ข้อสังเกต" ของตัวเองในวัยเด็กที่ใช้เวลาว่างนั่งวิเคราะห์ความนิยมของผู้เล่นกีฬายอดฮิตคือ "ฟุตบอล" แล้วได้ผลสรุปออกมาตรงใจผมอย่างยิ่งในวันนี้
ในสมัยมัธยมต้น กีฬายอดฮิตในโรงเรียนมีไม่กี่ประเภทหรอกครับ หลักๆ ก็ เทนนิส ซอฟต์บอล และแน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือฟุตบอล ที่ผมตั้งข้อสังเกตก็คือ เพราะเหตุใดหนอที่คนเล่นฟุตบอลทุกคนต่างก็แย่งกันเป็นศูนย์หน้า หรืออย่างน้อยได้เป็นกองหน้าก็ยังดี ตรงกันข้ามกับกองหลังซึ่งใครได้ตำแหน่งนี้ไปก็มักจะห่อเหี่ยวไปทันที ยิ่งได้เป็นโกลล์หรือผู้รักษาประตูนี่ก็แทบจะเลิกเล่นไปเลย
คำตอบที่ผมได้พบในวันนั้นก็คือ ฮีโร่ของเกมนี้คือผู้ยิงประตูได้นั่นเองครับ ดูจากภาพข่าวกีฬาทุกครั้งก็จะเห็นแต่ภาพการยิงประตูได้ จะหาภาพที่กองหลังทำหน้าที่ดี หรือยอดนายประตูที่เซฟลูกไว้ได้ก็มีน้อยเต็มทน หากเปิดเทปดูสัก 100 ข่าวก็จะเห็นภาพการยิงประตูประมาณ 98 ข่าวที่เหลืออีก 2 ข่าวก็จะแบ่งกันระหว่างกองหลังกับโกลล์
ดูสัดส่วนนี้แล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครยอมเป็นโกลล์ครับ เพราะหน้าที่นี้ "ทำดีก็เสมอตัว" และถ้าพลาดเมื่อไรก็เสียประตูเมื่อนั้น
คิดๆ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับหน้าที่ของ CIO ทุกวันนี้สักเท่าไรนัก เช่นเดียวกับข่าวการเจาะเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ หากไม่มีข่าวใดๆ หลุดออกมาเราก็คงไม่สนใจหน้าที่ฝ่ายไอทีในภาครัฐเป็นแน่ แต่เมื่อเป็นข่าวออกมาแล้ว รับรองได้ครับ ข่าวเชิงลบกระฉ่อนไปถึงไหนต่อไหนแน่นอน
ยังดีที่บ้านเรายังไม่มีตำแหน่ง System Security Manager เพราะถ้ามี ผมเชื่อว่าตำแหน่งนี้จะมีสถานะไม่ต่างอะไรไปจากผู้รักษาประตู คือทำดีก็เสมอตัว แต่ถ้าพลาดก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่ๆ และผมเชื่อว่าตำแหน่งนี้คงหาผู้มารับผิดชอบได้ยากเย็นเต็มทน
ดาวเด่นในฝ่ายไอทีทุกวันนี้หนีไม่พ้นคนที่รับผิดชอบในด้าน Interface ที่ใกล้ชิดกับฝ่ายบริหารได้มากที่สุด โดยเฉพาะด้านการนำเสนอข้อมูล ไม่ว่าจะเป็น Enterprise Resources, Customer Relationship Database, หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแสดงผลในรูปแบบต่างๆ ไม่ต่างอะไรกับ "ศูนย์หน้า" ที่มีแต่คนแย่งกันเล่น เพราะรู้ดีว่ามีโอกาสสร้างคะแนนนิยมได้สูงที่สุด
ตรงกันข้ามกับฝ่าย Security ที่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาหาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะช่องโหว่ของระบบที่พบได้เรื่อยๆ แทบจะทุกวัน หากแก้ไขและป้องกันได้ทันก็รอดตัวไป แต่ถ้าพลาดก็ทำใจได้เลยครับว่าในวันรุ่งขึ้นต้องถูกตำหนิและรุมประณามจากทุกฝ่าย
ก็ได้แต่เห็นใจและเอาใจช่วยแผนก "ปิดทองหลังพระ" ทุกท่านครับ เพราะโลกไอทีในวันนี้นอกจากจะ "เล็กลง" คือช่องทางในการสื่อสารเปิดกว้างให้กับคนทั้งโลกได้ง่ายๆ แล้ว ยัง "เบาลง" อีกมากเพราะการค้นคว้าหาข้อมูลใหม่โดยเฉพาะช่องโหว่ต่างๆ ของระบบนั้นหากันได้ง่ายๆ ผ่านเว็บบอร์ดและเว็บไซต์ต่างๆ ที่พูดคุยกันในเรื่องนี้โดยเฉพาะตรงกันข้ามกับในอดีตที่เราต้องหาหนังสืออ่านกันเป็นตั้งๆ กว่าจะได้ความรู้มากพอเอาไปทำอะไรทำนองนี้ได้
หวังว่าผู้อ่านที่ทำหน้าที่ในส่วนนี้คงยังไม่ท้อถอยหมดกำลังใจไปเสียก่อนนะครับ เพราะผมเชื่อว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป บทบาทของฝ่ายนี้จะมีแต่เพิ่มมากขึ้นๆ ตามความผันผวนของโลกไอทีซึ่งเราอาจต้องทำงานหนักขึ้นและหาข้อมูลมากขึ้นกว่าในอดีตหลายเท่า